
เมื่อฤดูร้อนมาเยือน กิจกรรมหรือการละเล่น เพื่อความบันเทิงอย่างหนึ่งของเด็กและผู้ใหญ่ ที่ได้รับความนิยมกันมาก ในทุกภาคของประเทศไทยเสมอมา ก็คือ การเล่นว่าว หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เล่มที่ 13กล่าวถึงการเล่นว่าวไว้ว่า ปรากฏหลักฐานการเล่นว่าวว่า มีมาแต่กรุงสุโขทัย เป็นว่าวที่ส่งเสียงดัง เวลาลอยอยู่ในอากาศ เรียกว่า ว่าวหง่าว ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ก็ปรากฏตามหลักฐานของชาวต่างประเทศว่า ว่าวของสมเด็จพระเจ้ากรุงสยาม ปรากฏในท้องฟ้าทุกคืนตลอดเวลาระยะ 2 เดือน และยังกล่าวว่า ว่าวเป็นกีฬาที่เล่นกันอยู่ทั่วไปในหมู่ชาวสยาม และในสมัยพระเพทราชา เคยใช้ว่าวในการสงคราม โดยผูกหม้อดินบรรจุดินดำเข้ากับสายป่านว่าวจุฬาข้ามกำแพงเมือง แล้วจุดชนวนให้ระเบิดไหม้ เมืองนครราชสีมาได้สำเร็จ
จากหลักฐานข้างต้น แสดงให้เห็นว่าชาวไทยรู้จักการเล่นว่าว มาไม่ต่ำกว่า 700 ปีแล้ว ว่าว จึงถือเป็นผลผลิตหนึ่ง ที่เกิดจากภูมิปัญญาของช่างฝีมือพื้นบ้านไทย ในแต่ละท้องถิ่นที่นำเอาทรัพยากรธรรมชาติรอบตัว มาประดิษฐ์สร้างสรรค์ เป็นของเล่นให้แก่ลูกหลาน หรือใช้เล่นกันในเวลาว่างจากการทำงาน ดังนั้น องค์ความรู้ในการทำว่าว จึงนับเป็นมรดกตกทอด ที่บรรพบุรุษของเรา ได้คิดค้นและถ่ายทอดมาสู่ลูกหลาน ในแต่ละท้องถิ่น ชุมชน หรือบุคคล ที่มีลักษณะเฉพาะตัว ที่โดดเด่นแตกต่างกันไป ปัจจุบันเหลือช่างฝีมือพื้นบ้านที่ชำนาญการทำว่าวน้อยลงมาก อาจเนื่องจากความนิยมในการเล่นว่าวลดลง และขาดผู้สืบทอด ส่งผลให้ภูมิปัญญาในการทำว่าวบางประเภท ใกล้สูญหายไป

ว่าวจุฬา เป็นว่าวที่นิยมเล่นกันในภาคกลาง มีลักษณะเป็น 5 แฉก ประกอบเป็นโครงขึ้นด้วยไม้ 5 อัน ไม้อันกลางเรียกว่า อก เหลาหัวท้ายให้ปลายเรียว ไม้อีก 2 อันผูกขนาบตัวปลายให้จรดกันเป็นปีก และไม้อีก 2 อัน เป็นขาว่าวเรียกว่า ขากบ ส่วนใหญ่นิยมใช้ไม้ไผ่สีสุก อายุประมาณ 3-4 ปี เพราะเนื้อไม้จะมีน้ำหนักเบา เหนียว ยืดหยุ่นสูง ไม่หักง่าย และมีเคล็ดว่าไม่ควรใช้ไม้ที่มีตำหนิ หรือเป็นรอยด่าง เพราะเนื้อไม้จะไม่เสมอกัน เป็นสาเหตุทำให้ว่าวเลี้ยงตัวไม่ดี จากนั้นนำโครงว่าวมาขึงดนตารางตลอดตัวว่าว เรียกว่า ผูกสัก แล้วใช้กระดาษปิดทับลงบนโครง วิธีการทำข้างต้นอาจดูคล้ายทำได้ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทำว่าวนับเป็นภูมิปัญญาที่ผู้ทำจะต้องมีความอดทน มีสมาธิ และเป็นงานที่ต้องใช้ความละเอียดอย่างยิ่ง เพราะหากทำไม่ถูกสัดส่วนแล้ว ว่าวอาจจะไม่สามารถลอยตัวขึ้นได้เลย หรืออาจจะลอยตัวขึ้นได้แต่เอียงซ้าย/ขวา หมุนควง และดิ่งลงมาสู่พื้นในที่สุด ดังนั้น ช่างแต่ละคนจึงมีเคล็ดลับในการทำว่าวแตกต่างกันไป
ว่าววงเดือน หรือ ว่าวบุหลัน และอาจเรียกเป็นภาษามลายูว่า “วาบูแล” ซึ่งแปลว่า “ว่าวเดือน” นิยมเล่นในภาคใต้ตอนล่าง

ปัจจุบันการเล่นว่าวในภูมิภาคต่างๆ ของไทย นิยมเล่นกันทั้งในหน้าหนาวและหน้าร้อน โดยต้องอาศัยกระแสลม เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เล่นว่าว ได้อย่างสนุกสนาน กระแสลมดังกล่าวมี 2 ระยะ คือ ระยะหน้าหนาว คือในช่วงเดือน พ.ย.ถึง ก.พ. เป็นลมที่พัดจากผืนแผ่นดินลงสู่ทะเล ทำให้คนภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นิยมเล่นว่าวกันในช่วงนี้
ส่วนหน้าร้อน ในราวเดือน มี.ค.ถึง เม.ย.จะมีลมตะวันตกเฉียงใต้ จากทะเลพัดสู่ผืนแผ่นดินใหญ่ เรียกว่าลมตะเภา หรือ ลมว่าว ทำให้ชาวภาคกลาง ภาคตะวันตกและภาคใต้ นิยมเล่นว่าวในฤดูนี้ ส่วนวิธีการเล่นว่าวนั้น คนไทยนิยมเล่นอยู่ 3 วิธี คือ การชักว่าวให้ลอยลมปักอยู่กับที่ เพื่อดูความสวยงามของว่าวรูปต่างๆ การชักว่าวแบบบังคับสาย ให้เคลื่อนไหวได้ตามต้องการ เพื่อแสดงความงดงาม ความสูง หรือความไพเราะของเสียงว่าว และวิธีสุดท้ายที่แตกต่างจากชาติอื่น คือ การชักว่าวแบบต่อสู้กันบนอากาศ เช่น ว่าวจุฬา ปักเป้า เป็นต้น


การเล่นว่าว นอกจากจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด จากการเรียนของเด็กๆ และการทำงานของผู้ปกครอง ได้เสริมสร้างกำลังกายให้แข็งแรง หรือลับสมองด้วยกติกาการแข่งขันสนุกๆ แล้ว ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีในครอบครัว ทำให้มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี มีน้ำใจนักกีฬากับผู้เล่นคนอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนให้เด็กๆ ได้ใช้เวลาว่างในการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ ไม่หมกมุ่นอยู่ แต่กับการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ หรือดูทีวี ที่สำคัญที่สุดความประทับใจอันเกิดจากการเล่นว่าว ยังอาจเป็นหนทางหนึ่ง ที่จะจุดประกายให้เด็กๆ เกิดความสนใจ และก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์ สืบสานภูมิปัญญาของช่างฝีมือพื้นบ้านไทย ให้เป็นมรดกของชาติสืบไป…ก็เป็นได้
ขอขอบคุณข้อมูลข่าว : เยาวนิศ เต็งไตรรัตน์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น